แบบแรกคือการใช้งานผ่าน “ความสามารถพื้นฐานของ AI ที่พัฒนาแล้วและผิดพลาดน้อยมาก” เช่น ด้านการบันทุก จดจำ ด้านภาษาต่างๆ เช่น การแปล ช่วยสรุปย่นย่อ การสืบค้นข้อมูล (แบบไม่ต้องวิเคราะห์) ด้านการคำนวณ เช่น การคำนวณตัวเลขที่ซับซ้อน แผนการเงิน บัญชีต่างๆ หรือการเขียนชุดคำสั่ง (Script / Coding) ในภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆ เช่น Java Python การใช้งานแบบแรกนี้ AI ทำได้ดีรวมทั้งสามารถเรียนรู้และแก้ไขขความผิดพลาดได้ตามที่เราสั่ง ซึ่งมีประโยชน์มากช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้น เข้าใจได้มากขึ้น ขยายความสามารถในการทำงานได้กว้างขึ้น

แบบที่ 2 คือการใช้งาน AI ผ่านการ “สืบค้นและวิเคราะห์” สามารถใช้งานได้แต่จำเป็นที่ต้องตรวจสอบข้อมูลและการวิเคราะห์นั้นเสมอ เพราะข้อมูลทั่วไปยังไม่มีคุณภาพทั้งตัวข้อมูลเองและรูปแบบการเก็บการเข้าถึงและการนำมาใช้ ทำให้การวิเคราะห์ไม่แม่นยำผิดพลาดไปจนถึงผิดเพี้ยน ผู้ใช้จึงควรประเมินว่าเวลาที่ต้องใช้ไปในการตรวจสอบการวิเคราะห์ของ AI กับการทำเองนั้นอย่างไหนเหมาะสมมากกว่ากัน

แบบที่ 3 เหมือน 2 แต่เพิ่มให้ AI “ให้คำแนะนำ” ต่างๆ ซึ่งเป็นประเภทที่ยังไม่ควรใช้ในปัจจุบันด้วยเหตุผลเดียวกับแบบที่ 2 ประเด็นสำคัญที่ต้องไม่ลืม คือ AI วิเคราะห์และแนะนำได้โดย “ไม่ต้องรับผิดชอบ” ดังนั้นโอกาสผิดพลาดที่ยังมีสูง การต้องใช้เวลาในการตรวจสอบการวิเคราะห์และคำแนะนำต่างๆ หากเป็นเรื่องที่สำคัญส่งผลกระทบสูงจึงไม่ควรใช้งาน AI ในแนวทางนี้

AI ฉลาดขึ้นทุกวัน ถ้าเราเข้าใจกระบวนการ ฝึกฝนการใช้งานอย่างเหมาะสม จะช่วยให้สามารถพัฒนางานและธุรกิจได้อย่างสะดวกเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นี่จึงเป็นโอกาสและเคล็ดลับทางธุรกิจที่หลายคนคาดไม่ถึง